วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

KRR-150 ตูดเป็ดตัวแรก [E2] (1996)
เพิ่มเติมทั้งแฟริ่งท้ายมีตูดเป็ดขึ้นมา และเป็นรุ่นที่จับเปลี่ยนชิ้นส่วนใหม่มากจนแทบจะใช้แทนกับรุ่นเดิมไม่ได้เลย
  • เปลี่ยนแฟริ่งท้ายทั้งหมดมีปลายกระดกขึ้นเล็กน้อยคล้ายตูดเป็ด
  • ฝาครอบไฟท้ายเปลี่ยน ตูดแบน เป็นตูดเป็ด จุดยึดไม่ตรงกัน ถ้าจะเปลี่ยนตูดต้องแปลง
  • เปลี่ยนเบาะใหม่ ใส่แทนกับของเดิมไม่ได้ จุดยึดคนละแบบ
  • เปลี่ยนกระเป๋าข้างให้เข้ารูปกับฝาครอบไฟท้าย
  • เปลี่ยนไฟเบรกท้ายให้ใหญ่ขึ้น
  • ก้านไฟเลี้ยวหลัง เปลี่ยนจาก 6 เหลี่ยมเป็นก้านไฟเลี้ยว แบบออกแนวกลมๆ หน่อย
  • ไฟเลี้ยวหน้าหลัง รมดำทั้งหมด
  • กันตกเปลี่ยนใหม่ให้เข้ากับรูปทรงแฟริ่งท้าย เป็นแบบกลมเหมือนเดิม แต่ทำให้คนซ้อนจับยากขึ้น
  • ขยายจานดิสก์หน้าเป็น 290 มม. รูยึดน็อตลดลงเหลือ 4 รู
  • จานดิสก์ทั้งหน้าหลังจากสีดำเปลี่ยนเป็นสีทอง ลายกงจักรแต่ต่างจากเดิมนิดนึง
  • ยางหลังขยายจาก 100/80-18 เป็น 100/90-18
  • ระบบล้างวาล์วตอนสตาร์ทเครื่องไม่มีอีกแล้ว
  • ระบบลิ้นไอเสียเป็น Hi Kips
  • ความกว้างกระทะล้อขยายมากขึ้น กระทะล้อหน้ากว้าง 1.85x17 นิ้ว  กระทะล้อหลังกว้าง 2.15x18 นิ้ว
  • บังโคลนตัวในเปลี่ยนให้เล็กลงจุดยึดต่างจากของเดิมใส่แทนกันไม่ได้ แยกส่วนกันกับบังโซ่
  • สวิงอาร์มจุดยึดถูกปรับให้ตรงกันกับจุดยึดบังโคลนตัวใน
  • ปั๊มเบรกหน้าถูกปรับตำแหน่ง เพื่อให้จับกับจานดิสก์หน้า 290 มม. 
  • กระจกมองข้างถูกเปลี่ยนใหม่ให้ใหญ่ขึ้น และเป็นสีดำทุกรุ่น
KR-150 SE หินแตก รุ่นพิเศษ (1992)
รายละเอียดถูกเพิ่มทั้งเปลี่ยนคาร์บูเรเตอร์ ปรับแต่งแฟริ่งและลดอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นออกไป
  • คาร์บูเรเตอร์ ใช้ K เหลี่ยม
  • กันตกไม่มี ขาตั้งคู่ไม่มี
  • อกไก่สั้นลงนิดนึงเพื่อหลบคอท่อ
  • เบาะโดนปาดออกเพื่อให้นั่งสบายขึ้น
  • ล้อหน้าสีแดง ล้อหลังสีเหลือง เฟรมสีดำ
  • มีกันสะบัด
  • น้ำหนักรถจะเบากว่ารุ่นธรรมดา

KR-150 SE หินแตก รุ่นพิเศษ (1992)
รายละเอียดถูกเพิ่มทั้งเปลี่ยนคาร์บูเรเตอร์ ปรับแต่งแฟริ่งและลดอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นออกไป
  • คาร์บูเรเตอร์ ใช้ K เหลี่ยม
  • กันตกไม่มี ขาตั้งคู่ไม่มี
  • อกไก่สั้นลงนิดนึงเพื่อหลบคอท่อ
  • เบาะโดนปาดออกเพื่อให้นั่งสบายขึ้น
  • ล้อหน้าสีแดง ล้อหลังสีเหลือง เฟรมสีดำ
  • มีกันสะบัด
  • น้ำหนักรถจะเบากว่ารุ่นธรรมดา

KR-150 SP หินแตก [B2] (1992)
รายละเอียดปรับเล็กโดยเน้นความแม่นยำในการจ่ายน้ำมันมากขึ้น
  • คาร์บูเรเตอร์ เปลี่ยนเป็น Keihin PE 28
  • คำว่า TURBOMAG ตรงไฟเลี้ยวหน้าหายไป แต่ตรงล้อยังมีอยู่
  • ล้อสีขาวทุกรุ่น กระจกมองข้างเปลี่ยนเป็นสีขาว แต่ถ้ารุ่นสีดำกระจกจะเป็นสีดำ 
  • เฟรมกลมเล็กที่ใช้รองเครื่องเป็นสีดำ

KR-150 SP TURBOMAG [B1] (1991)
รายละเอียดที่ปรับปรุงเพิ่มเติมเน้นกำลังแรงม้าเครื่องยนต์เพิ่มอีก 1 ตัวและ
สมรรถนะในแต่ละด้านในทิ้งห่างคู่แข่งไปอีกขั้น
  • ล้อแม็คสีขาว แต่ถ้ารุ่นสีดำจะเป็นล้อสีแดง ติดคำว่า TURBOMAG ตรงล้อ
  • ดิสก์หน้าหลังเปลี่ยนเป็น ลายกงจักร มีคำว่า TURBOMAG ติดอยู่ตรงไฟเลี้ยวหน้า
กระจกมองข้างเปลี่ยนใหม่ย้ายมาติดตรงหน้ากากรถ
  • จานดิสก์หน้ากว้าง 260 มม. รูยึดน็อตลดลงเหลือ 5 รู
  • กระทะล้อหน้ากว้าง 1.6x17 นิ้ว กระทะล้อหลังกว้าง 1.85x18 นิ้ว เท่าเดิม
  • เพิ่มแรงม้า จาก 33 เป็น 34 แรงม้า
Kawasaki KR 150 เริ่มผลิตออกจำหน่ายในช่วงปี 1989 - 2004 โดยมีรุ่นย่อยอื่นๆ ตามมาในแต่ละปีคือ KR-150 R รุ่นแรก (1989) นับเป็นรุ่นที่สร้างความฮืออามาหมู่รถขนาด 150 ซีซี ฟูลแฟริ่งในยุคนั้น แถมยังมีรูปร่างทันสมัยและคล่องตัวอีกด้วย รายละเอียดข้อมูลทางด้านเทคนิคคร่าวๆ ล้อซี่ลวด ดิสก์หน้าอยู่ฝั่งซ้าย กระบอกโช้คหน้า ขนาด 33 มม. จานดิสก์หน้ากว้าง 26 ซม. มีรูยึดน็อต 6 รู ยางหน้า 90/80-17 ยางหลัง 100/80-18 กระทะล้อหน้ากว้าง 1.6x17 นิ้ว กระทะล้อหลังกว้าง 1.85x18 นิ้ว กระจกมองหลังติดอยู่กับแฮนด์ ไฟเลี้ยวหน้าหลังสีส้ม คาร์บูเรเตอร์ Keihin PWK 28 ( K เหลี่ยม ) ฝาครอบเครื่องสีเทาเป็นรูปใบพัด (แต่ด้านในสีเงิน) เสื้อสูบสีเทา พร้อมระบบ ลิ้นไอเสีย Kips 33 แรงม้า ปลายท่อสามารถถอดฝาตรงปลายออกได้ สเตอร์หน้า 15 ฟัน หลัง 42 ฟัน โซ่เบอร์ 428 โซ่ยาว 124 ข้อ มีสติกเกอร์ Cradle BOX Frame โครงจากญี่ปุ่น (ที่คอรถจะมีสลักไว้ว่า Made in Japan) สวิตช์กุญแจจะมี P (Lock Park) อยู่ หลังตำแหน่งล็อกคอรถ (ถ้าเราบิดกุญแจไปตรงนี้จะทำให้ไฟเบรกรถเราติด สำหรับกันรถหลังพุ่งมาชนตอนเราจอดข้างทางช่วงกลางคืน)
 

คาวาซากิ นับเป็นแบรนด์ที่เคยอยู่ระดับหัวแถวทั้งในเรื่องของมอเตอร์ไซค์ที่แรงและเป็นที่นิยมมากในอดีต หากย้อนหลังไปประมาณ 15 - 20 ปี ในประเทศไทยเคยมีการจำหน่ายรถมอเตอร์ไซค์ที่ใช้เครื่องยนต์ 2 จังหวะ สายแว้นยุค 80-90 คงคุ้นเคย และหนึ่งในรุ่นที่โด่งดังมากนั่นคือ Kawasaki KR 150 R